ความหมาย
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช เป็นวิธีการขยายพันธุ์พืชวิธีหนึ่ง แต่มีการปฏิบัติภายใต้สภาพที่ควบคุม เรื่องความสะอาดแบบปลอดเชื้อ อุณหภูมิ และแสง ด้วยการนำชิ้นส่วนของพืชที่ยังมีชีวิต เช่น ลำต้น ยอด ตาข้าง ก้านช่อดอก ใบ ก้านใบ อับละอองเกสร เป็นต้น มาเพาะเลี้ยงบนอาหารสังเคราะห และชิ้นส่วนนั้นสามารถ เจริญและพัฒนาเป็นต้นพืชที่สมบูรณ์ มีทั้งส่วนใบ ลำต้น และรากที่สามารถนำออกปลูกในสภาพธรรมชาติได้
ที่ผ่านมามีการนำเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชประยุกต์ใช้กับงานด้านเภสัชวิทยา และชีววิทยา แต่ปัจจุบันมีการพัฒนา และนำมาใช้แก้ปัญหาหรือเพื่อประโยชน์ในภาคเกษตร และภาคอุตสาหกรรมกันมากขึ้น เช่น การนำเมล็ดไผ่มาผลิต-ขยายด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์ไผ่ออกดอกประมาณปี 2538 หรือการนำหน่อที่มีคุณลักษณะที่ดีของหน่อไม้ฝรั่งมาผลิต-ขยายด้วย วิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพื่อลดปัญหาการใช้เมล็ดซึ่งมีการคละเพศ นอกเหนือจากราคาของเมล็ดพันธุ์ที่ค่อนข้างสูง และยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อีกด้วย เป็นต้น
ประโยชน์
คุณสมบัติที่ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ของวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีหลายข้อพอสรุปได้ดังนี้
1. สามารถผลิตต้นพันธุ์พืชปริมาณมาณมากในระยะเวลาอันรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น หากพืชสามารถเพิ่มปริมาณได้ 3 เท่า ต่อการย้ายเนื้อเยื่อลงอาหารใหม่ทุกเดือนๆ ละ 1 ครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน จะสามารถผลิตต้นพันธุ์พืชได้ถึง 243 ต้น
2. ต้นพืชที่ผลิตได้จะปลอดโรค โดยเฉพาะโรคที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส มายโคพลาสมา ด้วยการตัดเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่บริเวณปลายยอดของลำต้น ซึ่งยังไม่มีท่อน้ำท่ออาหาร อันเป้นทางเคลื่อนย้ายของเชื้อโรคดังกล่าว
3. ต้นพืชที่ผลิตได้ จะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ คือ มีลักษณะตรงตามพันธุ์ ด้วยการใช้เทคนิคของการเลี้ยงจากชิ้นตาพืชพัฒนาเป็นต้นโดยตรง หลีกเลี่ยงขั้นตอนการเกิดกลุ่มก้อนเซลล์ที่เรียกว่า แคลลัส
4. ต้นพืชที่ผลิตได้จะมีขนาดสม่ำเสมอ ผลผลิตที่ได้มีมาตรฐานและเก็บเกี่ยวได้คราวละมากๆ พร้อมกันหรือในเวลาเดียวกัน
5. เพื่อการเก็บรักษาหรือแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชระหว่างประเทศ เช่น การมอบเชื้อพันธุ์กล้วยในสภาพปลอดเชื้อขององค์กรกล้วยนานาชาติ (INIBAP) ให้กรมส่งเสริมการเกษตร เมื่อปี พ.ศ. 2542
6. เพื่อประโยชน์ด้านการสกัดสารจากต้นพืช นำมาใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ เช่น ยาฆ่าแมลงยารักษาโรค เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีคุณประโยชน์อีกหลายประการ เช่น เพื่อการผลิตพืชทนทานต่อสภาพแวดล้อม ทนกรดทนเค็ม เป็นต้น หรือการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการศึกษาทางชีวเคมี และสรีรวิทยาของพืช เป็นต้น ในส่วนของกรมส่งเสริมการเกษตรได้นำประโยชน์ข้อ 1-4 มาเป็นข้อกำหนดคุณลักษณะพันธุ์พืชที่ผลิตด้วยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อก่อนนำเข้าระบบส่งเสริมสู่เกษตรกร คือ ต้นพันธุ์พืชที่ผลิตได้ต้องปลอดโรค มีลักษณะตรงตามพันธุ์และสามารถขยายได้ปริมาณมากในเชิงอุตสาหกรรม นับเป็นหน่วยงานแรกของภาครัฐที่มีการนำเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมาพัฒนาใช้กับงานขยายพันธุ์พืชเศรษฐกิจในเชิงพานิชย์อย่างเป็นรูปธรรมและพร้อมนำไปใช้ในระบบส่งเสริม ตัวอย่างพันธุ์พืชเพาะเลี้ยงที่มีการทดลองนำร่องปลูกในสภาพไร่ และประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ได้แก่ หน่อไม้ฝรั่ง กล้วย อ้อย สับปะรด ไผ่ เบญจมาศ และสตรอเบอรี่ เป็นต้น
อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้
อุปกรณ์ที่ใช้กับงานเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อค่อนข้างมีมากชนิด การจัดวางเครื่องมือต้องคำนึงถึงความสะดวกใน การใช้ต่อพื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดถ้ากำหนดชนิดของเครื่องมือตามตำแหน่งของการใช้งานภายในห้องปฏิบัติการ จะแบ่งออกเป็น 3 ห้องใหญ่ๆ คือ
1. ห้องเตรียมอาหาร
2. ห้องตัดเนื้อเยื่อ
3. ห้องเลี้ยงเนื้อเยื่อ
ภายในแต่ละห้องจะมีอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้งานเป็นประจำ แตกต่างกัน ไปตามลักษณะงานดังนี้
(1) ห้องเตรียมอาหาร เป็นห้องที่ใ่ช้เก็บสารเคมีและวัสดุอุปกรณ์เพื่อการชั่งสาร หรือผสมอาหาร
หม้อนึ่งความดันไอ ตู้อบความร้อนแห้ง ดังนี้
1.1 สารเคมี จัดวางในตู้หรือบนชั้นวางของอย่างเป็นระเบียบเป็นหมวดหมู่หรือตามอักษรที่สำคัญ
ควรอยู่บริเวณเดียวกับที่วางเครื่องชั่ง
1.2 เครื่องชั่ง เครื่องวัดความเป็นกรด-ด่าง ควรวางอยู่บนโต๊ะที่มั่นคงไม่สั่นสะเทือนง่าย
1.3 เครื่องแก้วและเครื่องมืออื่นๆ ควรมีที่เก็บมิดชิด และไม่ห่างจากอ่างน้ำมากนัก
1.4 อ่างน้ำ ใช้สำหรับล้างทำความสะอาดเครื่องมือต่างๆ เพื่อความสะดวกต่อการปฏิบัติงาน อาจอยู่มุมหนึ่งของบริเวณห้อง
1.5 บริเวณเตรียมอาหาร ควรเป็นโต๊ะหรือพื้นที่ที่มีความสูงพอที่จะปฏิบัติงานในลักษณะยืนหรือนั่ง
ก็ได้
1.6 เครื่องกรองน้ำ อาจใช้เครื่องกรองน้ำดื่มตามบ้านได้
1.7 เครื่องชั่ง มี 2 แบบ คือ เครื่องชั่งอย่างละเอียด และเครื่องชั่งอย่างหยาบ
-- เครื่องชั่งอย่างละเอียด สามารถชั่งได้เป็นมิลลิกรัม หรือทศนิยม 4 ตำแหน่ง ใช้สำหรับชั่งสารเคมี วิตามิน และสารควบคุมการเจริญเติบโต ซึ่งใช้ปริมาณน้อยมาก
-- เครื่องชั่งอย่างหยาบ ชั่งได้เป็นกรัม หรือทศนิยม 2 ตำแหน่ง ใช้สำหรับชั่งสารเคมีที่ใช้ปริมาณมาก เช่น วุ้น และน้ำตาล
1.8 เครื่องวัดความเป็นกรด-ด่าง (pH-meter) ใช้วัดค่าความเป็นกรด-ด่าง ของอาหารสังเคราะห์
ควรอยู่ที่ระดับ 5.6
1.9 เครื่องคนสารละลาย ใช้สำหรับคนสารละลายเมื่อใส่แท่งคนไฟฟ้า (Magnetic stirror) ขณะ
เตรียมอาหาร
1.10 เตาต้มอาหาร อาจเป็นเตาไฟฟ้าหรือเตาแก๊ส ใช้สำหรับต้มอาหารเพื่อให้วุ้นละลาย
1.11 ตู้อบความร้อนแห้ง (Hot air oven) ใช้ในการอบฆ่าเชื้อเครื่องแก้วและอุปกรณ์ในการตัดย้าย
เนื้อเยื่อ โดยใช้อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2-3 ชั่วโมง
1.12 เครื่องแก้ว ปัจจุบันนิยมใช้เป็นพลาสติกเพราะลดความเสียหายจากการแตกร้าวได้ค่อน ข้างมาก
-- ฟลาสค์หรือขวดรูปชมพู่ ขนาด 50-1,000 มิลลิลิตร
-- บีกเกอร์ ใช้ปรับปริมาตรของอาหาร ขนาด 20-1,000 มิลลิลิตร
-- กระบอกตวง ขนาด 5-1,000 มิลลิลิตร
-- ไปเปต ใช้ดูดสารละลายปริมาณน้อย ขนาด 0.1-10 มิลลิลิตร
1.13 หม้อนึ่งความดันไอ (Autoclave) ใช้นึ่งฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารวุ้นโดยใช้ความร้อน ที่
อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส ความดัน 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป็นเวลา 15-20 นาที อาจเป็นแบบหม้อไฟฟ้า
อัตโนมัติ หรือเป็นแบบที่ใช้ความร้อนจากเตาแก๊ส มีทั้งแบบแนวตั้งและแนวนอน หม้อแบบแนวนอนจะมีความจุมากกว่าหม้อแบบแนวตั้ง และมีราคาค่อนข้างสูง
-- หม้อนึ่งความดันไอแบบใช้ไฟฟ้าแนวตั้ง เป็นแบบที่ได้รับความนิยม มีใช้ในห้อง
ปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเกือบทุกแห่ง
-- หม้อนึ่งความดันไอ แบบใช้ไฟฟ้าแนวนอน สามารถนึ่งอาหารได้ปริมาณมากกว่าหม้อ
แบบแนวตั้ง
-- หม้อนึ่งความดันไอ แบบใช้แก๊ส ใช้หลักการเดียวกับหม้อนึ่งเชื้อเห็ดประสิทธิภาพการ
ทำงานสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติงาน สามารถควบคุมอุณหภูมิ และความดันให้คงที่ตามกำหนดเวลา ได้
หรือไม่
(1) ห้องตัดเนื้อเยื่อ เป็นห้องที่มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานมากที่สุดศูนย์รวมของกิจกรรมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
จะอยู่ในห้องนี้ ควรเป็นห้องที่มีระบบป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อ ผิวพื้นห้องทุกด้านทั้งฝาผนัง พื้นห้อง ควร
มีผิดเรียบมัน ไม่เป็นที่สะสมของฝุ่นละออง ทำความสะอาดง่าย วัสดุอุปกรณ์ที่อยู่ในห้องนี้จะประกอบไปด้วยตู้
ตัดเนื้อเยื่อ จำนวนมากน้อยเป็นไปตามปริมาณการผลิตของแต่ละแห่ง ดังนี้
2.1 ตู้ตัดเนื้อเยื่อ เป็นตู้ปลอดเชื้อที่ใช้กับงานตัดย้ายชิ้นพืช มีระบบการหมุนเวียนของอากาศภายในตู้ที่สะอาด ปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ตลอดเวลาของการปฏิบัติงาน ด้วยระบบการถ่ายเทอากาศผ่านแผ่นกรองที่มีรูพรุน ขนาดเล็กประมาณ 0.3 ไมครอน ซึ่งเชื้อจุลินทรีย์ไม่
สามารถเล็ดลอดผ่านได้ ทั้งนี้ควรเช็ดทำความสะอาดตู้ทั้งก่อนปฏิบัติงานและหลังเลิกงานในแต่ละวัน โดยเช็ด ออกด้านนอกตู้เสมอด้วยแอลกอฮอล์ 70% รวมทั้งการเปลี่ยนแผ่นกรองเชื้อจุลินทรีย์ตามกำหนดเวลาเพื่อรักษา ประสิทธิภาพความเป็นตู้ปลอดเชื้อ
2.2 วัสดุหรือเครื่องมือที่ใช้ตัดเนื้อเยื่อ ได้แก่
- มีดผ่าตัด นิยมใช้ด้ามมีดเบอร์ 3 กับใบมีดเบอร์ 10 หรือ11
- ปากคีบ (forcepts) ใช้หนีบจับชิ้นพืช มีขนาดความสั้นยาว ต่างกันไปขึ้นกับความสะดวกในการปฏิบัติงาน
- ตะแกรงสำหรับวางมีดและปากคีบ
- ตะเกียงแอลกอฮอล์
- จานรองหรือกระดาษ ที่ผ่านการนึ่งฆ่าเชื้อแล้วใช้รองตัดชิ้นเนื้อเยื่อ
วัสดุเหล่านี้ก่อนนำมาตัดเนื้อเยื่อต้องทำการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์โดยการนึ่งฆ่าเชื้อด้วยหม้อนึ่งความดันไอหรือการอบความร้อนแห้ง ภายหลังสิ้นสุดการปฏิบัติงานทุกครั้งต้องนำเครื่องมือเหล่านั้นมาล้างให้สะอาดด้วยน้ำยาล้างจาน เช็ดให้แห้ง ห่อด้วยกระดาษตะกั่วแล้วจึงนำไปฆ่าเชื้อจุลินทรีย์เพื่อการนำมาใช้ใหม่ในครั้งต่อไป
2.3 อุปกรณ์อื่น ๆ ได้แก่
1. เก้าอี้มีพนักสำหรับพนักงานตัดเนื้อเยื่อ
2. รถเข็นสำหรับวางขวดอาหาร ขวดเนื้อเยื่อพืช
2.4 อุปกรณ์ดับเพลิง ควรมีประจำทุกชั้นและทุกห้อง โดยเฉพาะห้องตัดเนื้อเยื่อเพราะขณะปฏิบัติงาน มีการลนไฟฆ่าเชื้อวัสดุอุปกรณ์ตลอดเวลา อาจเกิดอุบัติเหตุไฟลุกไหม้ภายในตู้ได้
(3) ห้องเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นห้องปลอดเชื้อ ควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง 25-25 องศาเซลเซียส ใช้ เป็นสถานที่วางขวดเนื้อเยื่อพืช เป็นห้องที่ไม่ควรอนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าออกโดยเด็ดขาดเพราะ จะทำให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ในขวดเนื้อเยื่อพืช อาจทำให้เกิดความเสียหายกับต้นพันธุ์พืชในภาพรวมได้ อุปกรณ์ที่สำคัญที่ติดตั้งอยู่ในห้อง ได้แก่
3.1 ชั้นวางเนื้อเยื่อ วัสดุที่ประกอบเป็นชั้นอาจทำด้วยไม้ เหล็กฉาก แสตนเลส หรืออลูมิเนียมเป็นต้น ขนาดกว้าง x ยาว x สูง ประมาณ 60 x 125 x 200 มีชั้นวาง 5 ชั้น แต่ละชั้นห่างกันประมาณ 30 เซนติเมตร โดยส่วนที่ทำเป็นพื้นควรจะเป็นกระจกหรือฟอร์ไมก้าสีขาว หรือเป็นตาข่ายโปร่ง มีหลอดไฟฟ้าที่ให้ความสว่างแก่พืชเพื่อการสังเคราะห์แสง นิยมใช้หลอดไฟที่เรียกว่า Grolux เพราะมีคุณสมบัติของการให้แสงสีแดง ซึ่งเหมาะกับการสังเคราะห์แสงของพืช แต่หลอดชนิดนี้มีราคาค่อนข้างสูง จึงอาจใช้หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ ชนิดธรรมดาที่ใช้กับอาคารบ้านเรือนก็ได้ ทั้งนี้การติดตั้งหลอดไฟควรให้หลอดอยู่ห่างจากชั้นวางเนื้อเยื่อในระยะประมาณ 20 เซนติเมตร และแต่ละหลอดอยู่ห่างกันประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อให้ได้ความเข้มแสง 2,000-3,000 ลักซ์ เมื่อวัดด้วยเครื่องมือ ที่เรียกว่า Lux meter โดยเปิดไฟติดต่อกันนาน16 ชั่วโมงต่อวัน จึงควรมีนาฬิกาควบคุมการปิด-เปิดไฟฟ้า (timer) ด้วย
3.2 เครื่องเขย่าแบบโยก ใช้สำหรับเนื้อเยื่อพืชที่เลี้ยงในอาหารเหลว มีลักษณะการเคลื่อนที่ในแนวขนานกับพื้นโลกอัตรา 100-150 รอบต่อนาที เป็นการเพิ่มออกซิเจนลงไปในอาหารเพื่อให้เนื้อเยื่อพืชได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอต่อการเจริญเติบโต
กิจกรรมภายในห้องเตรียมอาหาร
การปฏิบัติงานภายในห้องเตรียมอาหาร จะเริ่มต้นจากการชั่งสารตามสูตรอาหารที่ต้องการ ผสมเป็นสต็อกสารละลาย ปรับค่าความเป็นกรด-ด่าง หลอมอาหาร และบรรจุขวดก่อนนึ่งฆ่าเชื้อเพื่อรอการนำไปใช้ตามลำดับดังนี้
1. ชั่งสารเคมี เป็นขั้นตอนที่สำคัญขั้นตอนหนึ่ง ต้องการความแม่นยำสูง โดยเฉพาะสาร เคมีที่ใช้ปริมาณน้อย จึงต้องชั่งด้วยเครื่องชั่งอย่างละเอียด สามารถชั่งได้ทศนิยม 4 ตำแหน่ง
2. สำหรับสารเคมีที่ใช้ปริมาณมาก จะชั่งด้วยเครื่องชั่งอย่างหยาบ ชั่งได้ทศนิยม 2 ตำแหน่ง เช่น น้ำตาล หรือวุ้น
3. ผสมสารเคมี ต้องทำให้ส่วนประกอบของสารเคมีละลายผสมเข้ากันได้หมด โดยใช้เครื่องคนสารละลายร่วมกับแท่งคนไฟฟ้า
4. วัดความเป็นกรด-ด่าง (pH) ให้ปรับใช้ที่ระดับ 5.6 ซึ่งเหมาะสมต่อการที่พืชจะนำธาตุ อาหารไปใช้ในการเจริญเติบ แต่ในอาหารบางสูตรอาจใช้ที่ระดับ pH 5 เช่น อาหารกล้วยไม้
5. หลอมอาหาร เมื่อผสมอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว นำมาหลอมวุ้นให้ละลายบนเตาแก๊สหรือไมโครเวฟก็ได้
6. กรอกอาหาร ลงภาชนะต่างๆ เช่นขวดหรือถุงหรือกล่องพลาสติก เป็นต้น แต่ภาชนะที่ต้องทนความร้อน และสิ่งที่ต้องระมัดระวังขณะกรอกอาหาร คือ พยายามอย่าให้อาหารเลอะปาก ภาชนะ เพราะเป็นสาเหตุของการปนเปื้อนจากเชื้อจุลินทรีย์ได้ง่าย
7. อาหารวุ้นในขวด กรอกอาหารลงขวดขนาด 4 ออนซ์ (ขวดน้ำพริกเผา) ปริมาณอาหารที่กรอกขวดละ 20-25 มิลลิลิตร (1 ลิตรกรอกได้ประมาณ 40-45 ขวด) ปิดฝาให้สนิทนำไปนึ่งฆ่าเชื้อ
8. อาหารวุ้นในถุง กรอกอาหารลงถุงขนาด 4*6 นิ้ว (ถุงร้อน) ปริมาณอาหารที่กรอกถุงละ30-35 มิลลิลิตร (1 ลิตร กรอกได้ประมาณ 25-30 ถุง) นำไปนึ่งฆ่าเชื้อ
9. นำอาหารวุ้นเข้าหม้อนึ่งความดันไอ เพื่อนึ่งฆ่าเชื้อ เมื่อเตรียมอาหารเรียบร้อยแล้วควรทำให้ปลอดเชื้อภายในวันเดียวกัน ด้วยหม้อนึ่งความดันไอที่อุณหภูมิ 121 องศาเซลเซียส ความดัน 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป็นเวลา 15-20 นาที (เวลาอาจปรับเปลี่ยนตามขนาดของภาชนะ และปริมาตรของอาหาร) เมื่อนึ่งฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว รีบนำอาหารออกจากหม้อนึ่งความดันไอทันทีที่ความดันลดลงเป็น 0 ถ้าเป็นขวดควรปิดฝาให้แน่นเนื่องจากฝาขวดอาจขยายตัว เมื่อผ่านการนึ่งฆ่าเชื้อแล้ว และควรเก็บไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนนำไปใช้ เพื่อตรวจสอบอีกครั้งว่า ไม่มีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์
10. สต็อกอาหารวุ้นผ่านการนึ่งฆ่าเชื้อแล้ว เก็บไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนนำมาใช้
กิจกรรมภายในห้องตัดเนื้อเยื่อ
จะเป็นการตัดย้ายเนื้อเยื่อไปเลี้ยงบนอาหารใหม่ ซึ่งต้องอาศัยเทคนิคปลอดเชื้อ เจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการ ต้องเตรียมตัวให้อยู่ในสภาพที่พร้อมทำงานตั้งแต่ทำความสะอาด มือและแขนด้วยสบู่ สวมผ้าคลุมผม ใส่ถุงมือ ผ้าปิดปากปิดจมูก และสวมชุดปฏิบัติการ เป็นต้น ตามลำดับ ดังนี้
1. การรักษาความสะอาดด้วยการล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ และสวมชุดปฏิบัติการประกอบด้วยถุงมือ ผ้าคลุมผม ผ้าปิดปากปิดจมูก และเปลี่ยนรองเท้าก่อนเข้าห้องปฏิบัติการทุกครั้ง
2. เช็ดทำความสะอาดตู้ปลอดเชื้อก่อนใช้งานและควรเปิดสวิทซ์ตู้ให้ระบบต่างๆ ภายในตู้ทำงานก่อนปฏิบัติงาน 15-30 นาที
3. วางอุปกรณ์ที่ใช้ตัดเนื้อเยื่อในตำแหน่งที่เหมาะสมและสะดวกต่อการปฏิบัติงาน
4. การลนไฟเครื่องมือที่ใช้ปฏิบัติงานเพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อนเริ่มตัดเนื้อเยื่อ
5. ตัดเนื้อเยื่อปลายยอด apical meristem ในกรณีที่ผลิตปลอดโรค
6. ตัดเนื้อเยื่อระยะเพิ่มปริมาณภายในตู้ปลอดเชื้อ
7. นำชิ้นพืชที่ตัดแบ่งวางเลี้ยงบนอาหารในขวดก่อนปิดฝา
8. ลนไฟปิดปากถุง
9. ลงบันทึกชนิดพืชและ วัน/เดือน/ปี ที่ตัดย้าย
10. เนื้อเยื่อพืชพร้อมนำเข้าเรียงบนชั้นในห้องเลี้ยงเนื้อเยื่อที่ควบคุมแสง และอุณหภูมิ
กิจกรรมภายในห้องเลี้ยงเนื้อเยื่อ
1. นำขวดเนื้อเยื่อพืชที่เปลี่ยนอาหารใหม่ เข้าห้องเลี้ยงเนื้อเยื่อ
2. ทำความสะอาดชั้นเรียงพืชด้วยแอลกอฮอล์ 70% ก่อนเรียงเนื้อเยื่อพืช
3. นำถุงเนื้อเยื่อพืชวางเรียงบนชั้นที่มีความเข้มแสง 2,000-3,000 ลักซ์
4. เนื้อเยื่อพืชระยะเพิ่มปริมาณในขวด
5. เนื้อเยื่อพืชระยะสุดท้าย (เกิดราก) ในถุง
6. ตรวจสอบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์หากพบจะต้องเก็บทิ้งทันที หากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้สปอร์ของเชื้อราแพร่กระจายออกจากขวดสู่บรรยากาศของห้องได้
7. คัดเลือกแม่พันธุ์ เพื่อการตัด-ขยาย
8. บันทึกรายละเอียดและลักษณะของชิ้นพืช
9. เตรียมส่งพืชเนื้อเยื่อออกปลูกในสภาพโรงเรือน
เมื่อต้นพันธุ์พืชเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ผลิตได้ครบจำนวนตามเป้าหมาย จะถูกจัดเตรียมเพื่อนำออกอนุบาล ในสภาพโรงเรือน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น